วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552
การเริ่มต้น
"การเริ่มต้น" คำนี้บางคนอาจจะเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่หน้ากลัว...แต่สำหรับบางคนอาจมองเห็นว่ามันคือสิ่งทึ่จะทำให้เค้าได้เปิดโลกที่เค้ามีอยู่ให้มันได้กว้างขึ้นไปอีกขั้นนึง....ซึ่งผมก็คนหนึ่งที่มองว่าการได้เริ่มทำอะไรใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน การพบเจอผู้คน การต้องไปสถานที่ใหม่ๆ ที่เราไม่เคยได้ไปมาก่อน ได้ไปใช่ชีวิตคนเดียวในที่ ที่ ไม่มีใครรู้จักเรา มันคือสิ่งที่ทำให้เราต้องขวนขวาย สิ่งใหม่ๆ เหล่านั้นเข้ามาในชีวิตเราเพื่อการเป็นอยู่ในสังคมนั้น มันคือสิ่งที่จะทำให้เราได้เติบโตขึ้นไปอีกมากกว่าที่เราจะประเมิณค่ามันได้...(^ ^) เพราะฉนั้นใครก็แล้วแต่ที่กำลังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ไม่ว่าเรื่องอะไร จะการงาน สังคม ความารัก การศึกษา การใช่ชีวิตที่มีอะไรให้เราได้เข้ามาศึกษา มันคือสิ่งที่มีคุณค่าที่คุณไม่อาจจะหาซื่อได้จากที่ใหนก็ตามแต่ในโลคกลมๆ ใบนี้ ลองดูดิคับ....มันอาจจะมอบสิ่งดีๆ ให้กับชีวิตหรือถึงแม้ว่ามันจะได้รับผมที่เลวร้ายเพียงใด แต่มันก็ยังทำให้คุณได้รู้จักกับโลกนี้ได้มากยิ้งขึ้น...เพราะฉนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากเลยคุณว่าป่าวล่ะ....อิอิ ที่เกริ่นมาตั้งนานก็เพราะว่าตอนนี้ผมกำลังจเริ่มต้นงานใหม่อยู่น่ะสิคับ...(ออกจากที่เก่าแล้ว...T_T) เศร้าเหมือนกันน่ะคับที่จะต้องออกจากที่ทำงานเดิมก็เพราะว่าความผูกพันธุ์ที่มีให้กันในองค์กรมันเป็นอะไรที่พูดออกมาเป็นคำพูดคงยากแต่ก็น่ะคนเราก็ต้องไปในทางที่สามารถพัฒนาตัวเองได้ยิ่งขึ้นสิมานถึงจะได้ใช่ชีวิตได้อย่างคุ่มค่าหน่อย(นี้มันความคิดส่วนตัวของผมน่ะครับคนอื่นที่คิดไม่ตรงกันก็ถูกในฉบับของคุณซึ่งมันก็ดีสำหรับตัวคุณอยู่แล้ว( *-* ) ) แต่ก็น่ะงานใหม่ที่ไปทำมีอะไรให้เราได้เรียนรู้เยะมากจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาต่างที่เกิดขึ้นให้เราต้องไปแก้ไข ได้พูดคุยกับคนมากหน้าหลายตา อืมๆๆจริงสิ ผมลืมบอกไปว่าก่อนหน้าที่นะผมทำงานเป็นช่างเทคนิคของสถานีวิทยุเแห่งหนึ่งคับ แล้วมาตอนนี้ก็ทำงานอยู่ที่ร้านคอมพิวเตอร์แห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ตน่ะคับ อยู่ตำแหน่งช่างคอมพิวเตอร์ฯ น่ะคับ บางวันก็ซ่อมอยู่ที่ office บางวันก็ได้ออกไป service ข้างนอกบ้าง สนุกดีคับ ปัญหาแต่ล่ะวันมาไม่ซ้ำกันเลยก็ว่าได้ ก็น่ะอย่างที่รู้ๆกัน เรื่อง IT น่ะมันอัพเดด กันแทบทุกวันก็ว่าได้ (ไม่ว่ารู้จะขยันคิดกันไปถึงไหน...หึหึ) แต่ก็ดีน่ะ...มันทำให้เราได้กระตุ้นตัวเองอยู่เสมอต้องพยายามในการที่จะตามให้ทันแล้วก็ต้องพยายามคิดให้ไกลว่าต่อไปสิ่งต่างๆ ที่เราทำอยู่ในตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้างในอนาคต อันไม่ใกล้ไม่ไกลนี วันนี้ก็ขอพอแค่นี้ก่อนดีกว่าคับเพราะตอนนี้ก็เริ่มตึงๆล่ะ...อิอิ ไว้ยังไงมีอะไรที่น่าสนใจก็จะกลับมารายงานตัวต่อน่ะครับวันนี้ก็ขอบายก่อนน่ะครับ.....ฝันดีกันน่ะครับ...(^ ^)
วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2552
ทิ้งท้ายบทที่1

....หายไปนานเลยครับกว่าจะได้มาอัพต่อ...ปัญหามากมายหลายอย่างแต่ก็น่ะปัญหาทุกอย่างมีทางออกที่ดีที่สุดของมันเสมอคับ...หึหึ คิดได้เช่นนั้น ปัญหาทุกอย่างก็เครีย....555+ เอาล่ะ ที่ปิดบทนี้เร็วผิดปกติเนื่องด้วย...เรียนจบแล้วแล้วก็ทีสำคัญจำไม่ค่อยได้แล้วด้วย...หึหึ แต่ที่จำได้ดีที่สุดก็คือ มิตรภาพที่ร่วมสร้างกันมากะเหล่าเพื่อนๆ ^ ^ ... ตอนนี้ก็ได้ทำงานแล้ว...ถึงจะไม่เลิศหรูเท่าไหร่แต่ก็ดีใจง่ะ...หาเอง ไม่มีสายกะเส้น หาประสบการณ์ที่เหล่า สถานประกอบการ ต่างๆ ต้องการกัน(หึหึ) แต่ตอนนี้มีเรื่องที่ต้องเตรียมตัวกันก็คืองานรับปริญญา(^ ^) จะได้เจอเพื่อนๆที่จากกันไปนานพอสมควร..งานนี้ต้องมี....อิอิ แต่ช่วงที่หายไปทำให้ได้คิดอะไรหลายอย่างเลย...ทำให้ได้รู้ว่าเอาเข้าจริงๆ เงินเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยแต่เรื่องจิตใจนี้สิ..มันสำคัญยิ่งกว่า เงินหาเมื่อไหร่ก็ได้..แต่สุขภาพจิตน่ะดิหายากมาก....เสียไปแล้วเสียกว่า่จะหามาได้ใหม่ก็ไม่ใช่ง่ายๆ....ก็ืเรื่องความรู้สึกนี้คับมานพูดกันยากอ่ะน่ะ (^ ^) เอาล่ะคับใครที่ตอนนี้มีปัญญาไรที่ไม่สบายใจอยู่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็แล้ว ลองคิดบวกดิคับ ไม่ว่าเรื่องร้ายแค่ไหนหากเรามองมันในแง่ดี ปัญหาที่มีอยู่ในตอนนี้มันจะยิ่งใหญ่แค่ไหน หากมองกลับกันหากเราผ่านมันไปได้มันจะเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ทวีคูณให้เราได้ภาคภูมิ.....(^ ^) ใช่ป่าวคับ...ก็อย่างที่คนเค้าพูดๆ กันอ่ะนะ ว่า อุปสรรค มีไว้ให้เราข้าม (นี้ดิเด็ด) วันนี้ขี้เกียจผิดปกติเอาแค่นี้ก่อนก็พอแล้วเจอกันใหม่กับบทใหม่...กันน่ะครับ...
วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552
บทที่1.2

ติดค้างจากครั้งที่แล้ว...(เรื่องอะไรก็ไปหาอ่านเอาเองล่ะกัน...ง่ะ) ก็น่ะคับอย่าที่บอกไปว่ามีอะไรที่ได้มาหลายอย่างตอนที่ยังเรียนอยู่ใน มหาวิทยาลัย(?) ไม่บอกว่าที่ไหน....เหอๆๆ อย่างแรกที่ได้เจอพอเข้าไปปุ๊บแน่นอนง่ะ...เพื่อน ตัวโตๆเลย...อิอิจะดีรึไม่ดีนั้นตอนแรกต้องบอกเลยว่าดูยากคับ..ยังไงก็คบๆมันไปก่อนเหะดีกว่าเิดินคนเดียวเป็นคนขาดหุ้นอยู่ใน ม. 5555+ แต่พอเวลาผ่านไปจะสังเกตุเห็นได้ว่าจะมีการย้ายกลุ่มกันเป็นว่าเล่นประมาณว่าหัดโยกย้ายกันก่อนจะลงพรรค์จริงก็ไม่ปาน...เฮิกๆๆ ก็อย่างว่าน่ะครับ..อยู่กะใครไม่ได้ก็ต้องไปหาที่อยู่รึกลุ่มใหม่เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย...(*-*) แต่ถึงจะยังไงไม่ว่าจะอยู่กลุ่มไหนแต่พอมีเรื่องปัญหาเกิด ( ประมาณว่าชั่วโมงนี้งานเข้า ) แต่ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงไปตี กะใครน่ะครับ แบบว่า อาจารย์ผู้น่ารัก(โคตรๆ ) สั่งงานขั้นเทพพร้อมคำแถมท้ายประมาณว่าตัวนี้ไม่ผ่านก็ไม่ต้องเอาเกรด....ซึ่งเล่นเอาบรรยากาศเงียบเข้าครอบงำทั่วทั้งห้องเรียนแล้วเหตุการณ์อัศจรรย์ก็บังเกิด ทั่วทั้งห้องจะหันมามองหน้ากันหลังจากที่ คุณอาจารย์ที่(โคตร) เคารพรักได้เดินลับออกไปจากห้องเรียนของเราแล้ว.....เชื่อรึปล่าวล่ะคับว่า..ทุกมนุษย์ที่อยู่ในที่ันั้นหันมามองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมายแล้วบุคคลที่จะโดนเพ่งเล็งมากที่สุดก็คือไอ้คนที่มันเทพเป็นทุกเรื่อง....ที่นี้ล่ะครับเค้าคนนั้นจะเป็นยังกะผู้ทรงอิทธิพล ต้องการสิ่งใดเพื่อนๆจะดลบัลดาลให้โดยมิอาจขัดขืน..อิอิ(ก็ลองขัดมันดูดิมันไม่ให้เราดู Project ละก็ได้งานเข้าเราคนเดียวแน่..55+) แต่ก็น่ะขนาดว่างานจะสำคัญแค่ใหนก็แล้วแต่วันแรกจะไม่มี มนุษย์นักศึกษาคนไหนทำกันหรอกคับ..นู้เหล่ามนุษย์นักศึกษา เค้าจะไปทำกันวันสุดท้ายก่อนส่งงานกันนั้นแหละ...เฮิกๆๆ ( ผมก็คนนึงล่ะที่เป็นแบบนั้้นน่ะ ...หึหึหึ) แต่ไม่ว่าจะทำกันวันไหนก็ไม่ต่างกันหรอกคับเพราะว่าคนที่ทำตั้งแต่วันแรก กับคนที่ทำวันสุดท้ายงานก็ออกมาคุณภาพเดียวกันทั้ง คลาส...เหอๆๆ ไม่ให้เหมือนกันได้ไงล่ะก็เล่น coppy ของเค้ืามาแล้วเอามาแต่งใหม่กันทั้นนั้นน่ะ...555+ แล้วไอ้ทีขำสุดก็คือช่วงเวลาใกล้สอบนี้ล่ะคับ...ตัวดีเลยนจะเป็นยังไงนั้นเด๋วเอาไว้วันหลังอีกล่ะกันคับ..ตีห้าแล้ว...ง่วงๆๆๆๆ (คือที่จริงก็ขี้เกียจเขียนแล้วด้วยเด๋ววันหลังไม่มีให้เขียน...อิอิ) ยังไงก็ฝันหวานๆ..น่ะคับ ปายล่ะง่ะ บาย คับ...(- -)
วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552
บทที่1.1

ครั่งก่อนพูดถึงเรื่องเรียนไปทำให้นึกถึงตัวเองที่ตอนนี้เพิ่งเรียนจบมา.....และแน่นอนครับว่าต้องหางานทำตอนแรกๆ ก็ไม่เท่าไหร่นะง่ะ....ความคึกตามประสาคนเพิ่งจบไฟแรง(เกือบเผาตัวเองแนะ..อิอิ) ก็ออกหางานเลยสิคับ..ลุยเลยง่ะทุกที่ที่รับสมัครไปหมดเลยก็ว่าได้..รูปถ่ายหมดไปสองสามโหลเลยก็ว่าได้...แต่เมื่อมีการเรียกสัมภาษณ์ สิ่งแรกที่ทำให้ตัวเราเองต้องเงียบไปเลยคือคำถามที่มีทุกที่แน่นอนง่ะ..คนที่เคยสมัครงานมาก่อนก็คงจะคุ้นกับคำว่า "คุณเคยผ่านงานที่ไหนมาบ้าง" ผมเงียบไปนิดนึงพร้อมกับเสียงที่ดังขึ้นในใจ( แมร่งกรูเพิ่งจบแล้วจะไปเอาประการที่มืงว่ามาจากไหนฟร่ะ) แล้วก็ยิ้มแบบหมั่นใจพร้อมกับต้อบไปแบบเต็มปากว่า "ไม่เคยคับ"
ก็เล่นกำหนดว่าอย่างน้อย 1 ปี มั่งล่ะ 2 -5 ปีมั่งล่ะ ก็เพิ่งจบมาง่ะจะไปเอามาจากใหนง่ะ ไอ้ประสบการณ์น่ะ...แล้วพี่แกก็พูดต่อไปว่า คือน่ะคับน้องเราต้องการบุคคลที่มีประสบการณ์อย่างน้อย 1-2 ปีขึ้นไปน่ะคับ แล้วด้วยความที่เราก็เป็นคนตรง(จนเกินไป)ก็พูดสวนไปว่า..แล้วถ้าพี่ไม่มีให้เนี๊ยผมจะมีได้ไงคับ..หุหุ เล่นเอาพี่แกเงียบไปเลยวุ้ย..ก็คุยกันไปสักพักอ่ะน่ะ..แล้วประโยคโคตรฮิตที่มีในทุกที่ ทุกบริษัทก็ออกมาจากปากพี่แกเพื่อเป็นการบอกกะเราว่าการสนทนาของเราจบแล้วน่ะก็คือ" เด๋วทางเราจะติดต่อกลับไปใหม่น่ะคับ " ซึ่งจากการที่ไปสัมภาษณ์มาก่อนหน้าก็ทำให้เรารู้ได้ว่า..มันไม่โทรกลับมาหรอก หลอกให้กรูกรอกใบสมัคร ถามนู้นี้ตั้งนาน ทำไมไม่บอกเลยฟร่ะว่า..เราไม่รับคนไม่มีประสบการณ์น่ะคับน้องจะได้ไม่ต้องมาให้เสียเวลา...ก็เล่นไม่ให้โอกาสกันเลยง่ะแล้วคนใหม่แบบเราจะไปเอามาจากใหนล่ะประสบการณ์ของคุณพี่น่ะคร๊าบบบบบบ.....มาถึงตอนนี้เลยทำให้เราได้รู้แจ่มแจ้งแดงเจ๋ แล้วคับว่า เราเรียนมาตั้งนานเพื่อล่ากระดาษใบนึงจริงๆ รู้งี้ เรียนแค่ ปวส. แล้วออกมาทำงานยังดีกว่าอีก..จะได้มีประการณ์ เพราะว่า ปวส. กะ ป.ตรี เชื่อป่าวว่าพี่เค้ารับ ปวส. ก่อน
แต่ถึงยังไงก็ไม่นึกเสียใจหรอกง่ะที่เสียเปรียบเพราะอย่างน้อย การที่เราเสียโอกาสในการหาประสบการณ์ทำงานแต่เราก็ได้ประสบการณ์ในการใช่ชีวิตรวมกับคนอื่นในแบบที่ว่ามีเฉพาะใน มหาวิทยาลัยเท่านั้น...มากมายหลายอย่าง..อิอิ จะมีอะไรมั่งเด๋วเอาไว้ค่อยคุยกันใหม่น่ะคับวันนี้พอก่อนขี้เกียจพิมพ์ล่ะ.....บายคับ
วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2552
บทที่1

กว่าจะเริ่มคิดเขียน บล๊อกจริงจัง..ก็เล่นเอานานพอควร...แต่ไม่รู้ว่านึกยังไงถึงได้มาเขียนทั้งๆที่ตัวเองก็ไ่ม่ได้เป็นคนที่มีความเก่งในเรื่องของการเขียนบรรยายสักเท่าไหร่..อาจเป็นเพราะว่าต้องการที่จะให้แนวความคิดของเราซึ่งอาจจะมีประโยชน์รึไม่...หรือบางครั้งอาจทำให้ใครบางคนอาจหัวเราะ อมยิ้ม เมื่อได้อ่าน..แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอต่อการมานั่งเขียนแล้วล่ะ...เพราะทุกวันนี้คนเราได้ลืมสิ่งง่ายๆเหล่านี้ไป มัวแต่คิด ต้องทำอย่างไรให้ตัวเองได้คะแนนดี ติด Top Ten คนอื่นอาจมองเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับชีวิต ใช่คับ ตัวผมเองก็คนหนึ่งที่เคยมีความคิดเช่นนั้น....แต่เมื่อตัวเองได้หลุดพ้นจากบ่วงกรรม(ไม่รู้ว่าแรงไปป่าว...หุหุ) จากตรงนั้นมากลับทำให้ได้รู้ว่า..มันไรสาระ..มากด้วย..จนชีวิตในวัยเรียนของใครหลายๆคนหายไปกับการแสวงหาความเก่งกาจทางการศึกษาถึง 95.5 เปอร์เซ็น(เหอๆ เวอร์ป่าวไม่รู้:) ) แต่หลายคนกลับมองข้าม การแสวงหาความสุขในขณะที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่ หน้าเสียดายน่ะครับ....เอ่อ - - เอาไว้แค่นี้ก่อนดีกว่าง่วงล่ะครับเพราะกว่าคิดได้ว่าจะเขี้ยนก็ ปาเข้าไป ตี 4.30 แล้วคับ...เออ..ที่พูดถึงเรื่องนี้น่ะเพราะเห็นไอ้โรงเรียนสอนพิเศษเยะเหลือเกิน...
แล้วที่ไปเรียนกันอยู่ก็มี่ตั้งแต่ อนุบาลเลย...O_o! อะไรจะขยันกันขนาดนั้น...หุหุ - - ง่วงจริงๆล่ะไปนอนก่อนดีกว่าไว้ค่อยมาว่ากันใหม่...หลับแล้ว..แง่มๆๆ Z..z..z..
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)